Urban Heat Island กับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ในช่วงกลางวัน เวลาที่ทุกท่านมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือนอกอาคาร ท่านรู้สึกร้อนแผดเผาบ้างหรือไม่ ปัญหาคลื่นความร้อนที่รุนแรงไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่ไกลตัวสำหรับคนไทยอีกต่อไป
โดยในช่วงฤดูร้อนปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2567) หลายพื้นที่ในประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กว่า 30 อำเภอใน 77 จังหวัด มีสถิติอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2501 ดังนั้นเราจะมาร่วมแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะการเกิดความร้อนแบบนี้ ซึ่งทางวิชาการเรียกว่า ปรากฏการณ์เกาะความร้อน (urban heat island)
ทุกวันนี้สภาพสังคมเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งแวดล้อมโดยรวมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ บรรยากาศในสังคมเมืองจะมีลักษณะร้อนขึ้น 3-10 oC แสงน้อย ลมน้อย และเกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ลักษณะดังกล่าวเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์เกาะความร้อน (Urban Heat Island: UHI)” ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อสภาพท้องฟ้าแจ่มใส เนื่องจากมีความร้อนจากแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นในตอนกลางวัน และเมื่อลมพัดเบา ทำให้ไม่มีการผสมผสานของบรรยากาศและอากาศอุ่นจึงกระจายตัวออกไป
ปรากฏการณ์เกาะความร้อนหรือปรากฏการณ์โดมความร้อน (Urban Heat Island: UHI) เป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิของบรรยากาศเหนือเมืองมีค่าสูงกว่าพื้นที่รอบนอกเมือง โดยมีลักษณะของเส้นอุณหภูมิคล้ายเกาะหรือโดมขนาดใหญ่เหนือเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในพื้นที่เขตเมืองใหญ่ โดยเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิซึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยอากาศใกล้พื้นดินในเขตชุมชนเมืองที่มีตึกสูงและอาคารบ้านเรือนตั้งอยู่หนาแน่นเป็นจำนวนมากมีอุณหภูมิสูงมากกว่าบริเวณพื้นที่ชนบทโดยรอบ พื้นที่ชนบท หรือ ป่าบริเวณรอบเมืองจะมีอุณหภูมิที่เย็นกว่า
สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อน มีหลายสาเหตุ
1. การเพิ่มขึ้นของอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ และโรงงานอุตสาหกรรม มีการใช้ทรัพยากรด้านพลังงาน เกิดการปล่อยพลังงานความร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และมลพิษทางอากาศต่าง ๆ มีการสะสมความร้อนที่ปล่อยจากอาคารและความร้อนจากดวงอาทิตย์ ท้องฟ้ากลางคืนจึงเย็นกว่าพื้นดิน
2. คุณสมบัติด้านการดูดซับและการสะท้อนกลับของรังสีความร้อนจากผิววัสดุสิ่งก่อสร้าง เช่น คอนกรีต และแอสฟัลต์ (ยางมะตอย) โดยเฉพาะแอสฟัลต์ที่มีคุณสมบัติดูดซับและเก็บรังสีจากดวงอาทิตย์ได้ดี ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อน
3. การขาดการระเหยหรือการคายน้ำ เนื่องจากพื้นที่เมืองมีพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ต่าง ๆ น้อยมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนของพื้นที่ที่เป็นสิ่งก่อสร้าง การระเหยหรือคายน้ำของพืชเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิอากาศภาคพื้นดินได้ดีและช่วยให้พื้นที่เมืองเย็นขึ้น
4. การบังลมของอาคารสูง เกิดการปิดกั้นความร้อนจากพื้นดินไม่ให้แผ่ขึ้นสู่ท้องฟ้าในช่วงกลางคืน ทำให้ความร้อนไม่สามารถระบายออกจากเมืองได้ จึงไม่เกิดความเย็นจากการพาความร้อน (Convection)
5. การมีประชากรหนาแน่น ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรด้านพลังงาน และเชื้อเพลิงอย่างมหาศาล การเดินทางด้วยรถยนต์ที่ก่อให้เกิดหมอกควัน มลพิษ และมลภาวะมากมาย ซึ่งมีส่วนทำให้ชั้นบรรยากาศเปลี่ยนแปลง
6. ความสมดุลของพลังงาน (Energy Balance) ในเขตเมืองเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความแตกต่างระหว่างวัสดุพื้นผิวดินและรูปทรงของอาคารในเขตเมืองและชนบท
โดยสรุปก็คือ ปรากฏการณ์เกาะความร้อนเกิดจากการที่อุณหภูมิในพื้นที่เขตเมืองสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์ทำ การก่อสร้างที่หนาแน่น รวมถึงการมีพื้นที่สีเขียวจำกัดนั่นเอง
สำหรับประเภทของปรากฏการณ์เกาะความร้อน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ปรากฏการณ์เกาะความร้อนที่พื้นผิวของสิ่งปกคลุมดิน (Surface Urban Heat Island) ปรากฏการณ์โดมความร้อนที่พื้นผิวจะเกิดมากหรือน้อย จะแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยจะเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงฤดูร้อนเนื่องจากท้องฟ้าโปร่งและลมสงบ รังสีจากดวงอาทิตย์สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศลงกระทบพื้นผิวได้มาก ตลอดจนไม่มีกระแสลมช่วยพาความร้อนออกจากตัวเมืองไปสู่ชนบท ทำให้อุณหภูมิระหว่างเมืองและชนบทมีความแตกต่างกันมากขึ้น
2. ปรากฏการณ์เกาะความร้อนในบรรยากาศ (Atmospheric Urban Heat Island) ปรากฏการณ์เกาะความร้อนที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ สามารถส่งผลกระทบในด้านสุขภาพ ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต หรือ อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ ทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมลดลง
ปรากฏการณ์เกาะความร้อน มีผลกระทบกับสุขภาพ
1. ปรากฏการณ์เกาะความร้อนผสมผสานกับคลื่นความร้อน ส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง โดยผลกระทบมักเกิดจากการที่มีอุณหภูมิสูงในเวลากลางคืน ทำให้ร่างกายไม่สามารถคลายความร้อนในเวลากลางคืนได้หลังจากที่เผชิญกับความร้อนมาในช่วงกลางวัน ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากขึ้นเพื่อที่จะพยายามควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
2. อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงอาจทำให้ผิวหนังได้รับความเสียหาย หรือ โรคเรื้อรังที่มีอยู่ก่อนแล้วเกิดอาการกำเริบขึ้น หรือ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ในระหว่างได้รับคลื่นความร้อนหรือหลังได้รับคลื่นความร้อนอาจทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น อาการอ่อนเพลียจากความร้อน โรคลมแดด โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจ โรคหลอดเลือดสมอง (โรคที่ทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ) และโรคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยจากผลการศึกษาของงานวิจัยหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ (90.2%) มากที่สุด รองลงมาคือ อ่อนเพลียจากความร้อน (83.1%) ตะคริวจากความร้อน (72.9%) โรคลมแดด (63.3%) ท้องเสีย (56.2%) ระคายเคืองตา (54.9%) โรคติดต่อจากแมลง 27%)
3. ในประเทศสหรัฐอเมริกา พื้นที่ที่มีรายได้น้อยและชุมชนคนผิวสี เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์เกาะความร้อนและมลพิษทางอากาศที่มากขึ้นเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ประชากรที่มีรายได้น้อยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากความร้อนจัด เช่น โรคหอบหืด
4. อุณหภูมิระหว่างพื้นที่เขตเมืองกับชนบทมีความแตกต่างกันอย่างรุนแรงมากขึ้น ก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความผิดปกติทางอารมณ์ และความก้าวร้าวมากขึ้น อาจทำให้โรคทางจิตหรือโรคซึมเศร้ากำเริบได้ และเชื่อมโยงถึงอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมการใช้สารเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท จากผลการศึกษาของงานวิจัยหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า (64.7%) พฤติกรรมก้าวร้าว (59.7%) ความขัดแย้งกับครอบครัว/เพื่อนร่วมงาน (54.2%) และความวิตกกังวล (33%)
5. อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเชื่อมต่อเครือข่ายทางสังคม และประสิทธิภาพในการทำงาน
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์เกาะความร้อนมีอิทธิพลต่ออัตราการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจ สามารถแบ่งได้ 5 ระดับ คือ ระดับ 0 – 5 ดังนี้
a) UHI ระดับ 0 (UHI : 3.59C) มีส่วนทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 0%
b) UHI ระดับ 1 (UHI : 3.5 – 4.9C) มีส่วนทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 0 ถึง 3%
c) UHI ระดับ 2 (UHI : 4.5 – 5.59C) มีส่วนทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ถึง 50.6%
d) UHI ระดับ 3 (UHI : 5.5 – 6.59C) มีส่วนทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6 ถึง 75.9%
e) UHI ระดับ 4 (UHI : 6.5 – 7.59C) มีส่วนสนับสนุน 9 ถึง 101% ของอัตราการเสียชีวิต
ปรากฏการณ์เกาะความร้อนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
1. ทำให้มีความเสี่ยงต่อคลื่นความร้อนและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น จากข้อมูลสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (the National Oceanic and Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) แสดงให้เห็นว่า เมืองใหญ่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดคลื่นความร้อนบ่อยกว่าที่เคยเกิด โดยในอดีตเกิดขึ้น 2 ครั้ง/ปี ปัจจุบันเกิดเพิ่มเป็น 6 ครั้ง/ปี ซึ่งร้อยละ 80 ของประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา อาศัยอยู่ในเมือง
2. ผลกระทบต่อรูปแบบการตกของฝน ทำให้มลพิษทางอากาศแย่ลง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม คุณภาพน้ำลดลง รวมทั้ง อุณหภูมิที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยังส่งผลกระทบต่ออาการของโรคที่แพร่กระจายโดยแมลง เช่น มาเลเรีย ไข้เลือดออก
ปรากฏการณ์เกาะความร้อน มีผลกระทบเศรษฐกิจ
ในประเทศสหรัฐอเมริกา หนึ่งในสามของครัวเรือนต้องดิ้นรนเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายด้านการใช้พลังงานที่สูงขึ้น โดยครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมักอาศัยอยู่ในบ้านที่มีการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องเครื่องปรับอากาศสูงกว่า และมีความไม่มั่นคงด้านพลังงานทำให้การรักษาความปลอดภัยและสุขภาพในช่วงคลื่นความร้อนทำได้ยากขึ้น
การแก้ไขปัญหาปรากฏการณ์เกาะความร้อน
เมื่อปี พ.ศ.2565 มีตัวอย่างโครงการพัฒนาเมืองแบบองค์รวมเพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ และการเป็นเมืองที่ฟื้นตัวได้ (Urban-Act) สนับสนุนงบประมาณโดย กระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMWK) มีระยะเวลาโครงการตั้งแต่ ปี พ.ศ.2565 – 2569
โครงการ Urban-Act เป็นโครงการในระดับภูมิภาคที่ดำเนินการใน 5 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ประเทศพันธมิตรเหล่านี้มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) และนโยบายเมืองระดับชาติของแต่ละประเทศ นำไปสู่การพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลสภาพอากาศที่จำกัด
และทักษะในการหาแนวทางแก้ไขไม่เพียงพอ การเตรียมการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงิน
โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาเมืองแบบคาร์บอนต่ำและฟื้นตัวได้ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับชาติและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
โครงการพัฒนาเมืองแบบองค์รวมเพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ และการเป็นเมืองที่ฟื้นตัวได้ (Urban-Act) ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2567 โดยมีนักผังเมือง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับท้องถิ่น เข้าร่วมหารือแนวทางการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและสามารถฟื้นตัวได้เมื่อได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดความเสียหายต่อความเป็นอยู่ทางสังคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด หรือเพื่อปรับตัวต่อกระทบที่ต้องเผชิญได้เป็นอย่างน้อย ซึ่งมีการเสนอแนวทางระดับโลกในการลดผลกระทบจากเกาะความร้อนในเมือง (UHI) โดย
ดร.มาร์ติน คลาร์ก ได้นำเสนอแนวทางจัดการปัญหาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองจากทั่วโลก โดยอธิบายว่าการทำแผนที่และติดตามความร้อนในเมืองสามารถช่วยระบุจุดที่มีความร้อนสูง และชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงได้โดยการใช้เทคโนโลยี เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม การสำรวจระยะไกล ซึ่งจะช่วยให้เมืองต่าง ๆ มีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจแก้ไขปัญหาจุดความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณราชา อัศวนนท์ นักวิจัยจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (SEI) เอเชีย ได้นำเสนอว่า ควรปรับนโยบายการจัดสรรพื้นที่และการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบของปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง เช่น การขยายพื้นที่เปิดโล่ง การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การอนุรักษ์เส้นทางการไหลของอากาศตามธรรมชาติ
ดังนั้นอย่าลืมว่า อุณหภูมิที่ร้อนผิดปกติและคลื่นความร้อนเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในแต่ละวัน กลยุทธ์ที่ทั่วโลกใช้รับมือกับปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองต่าง ๆ ได้สำเร็จ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การทำพื้นผิวถนนที่ช่วยลดความร้อน รวมถึงการวางผังเมืองที่คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (US.EPA) คาดว่าภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้ปรากฏการณ์เกาะความร้อนเลวร้ายลงในอนาคต
สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถช่วยแบ่งเบาปัญหาเกาะความร้อนได้โดยช่วยกันปลูกต้นไม้ อนุรักษ์พื้นที่สีเขียว และการสร้างหลังคาเขียวเพื่อช่วยให้เมืองเย็นลง ลดการดูดซับความร้อน และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ คลังความรู้ SciMath, NASA, สำนักงานสหประชาชาติเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย และงานวิจัยอีกหลายฉบับ
ข้อมูลอ้างอิง
https://eservice.dcce.go.th/storage/Media/C202201194740.pdf
https://sciplanet.org/content/14575
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC8543181/#:~:text=An%20international%20study%20found%20that,lower%20availability%20of%20health%20services.
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/28695487/
https://www.neefusa.org/story/climate-change/heat-waves-heat-islands-and-your-health
https://mjphm.org/index.php/mjphm/article/view/1970/772
https://www.besjournal.com/fileSWYXYHJKX/journal/article/bes/2018/7/PDF/bes-31-7-545.pdf
https://pdf.sciencedirectassets.com/278653/1-s2.0-S1877705816X00434/1-s2.0-S1877705816332039/main.pdf?X-Amz-Security-Token=IQoJb3JpZ2luX2VjEIT%2F%2F%2F%2F%2F%2F%2F%2F%2F%2FwEaCXVzLWVhc3QtMSJHMEUCIF5yCX1wmqaeDz%2FcX%2BdhSWTgE5ZjrWZg%2FIMYMXZGyj9xAiEAjA8Jx%2By5WYf3Xth3TJt9qGBjaICdgsFn5ee30DnrAqMqsgUIbRAFGgwwNTkwMDM1NDY4NjUiDJltQX9LV2pT%2BcLwnSqPBQbtfjr%2Fl8Q1rg8RncOkbKsK0FeLSbR65hLx2eAVeLu9aLGS4vUZ21gNTL9estVedNHrQlmiXKMhPTUr8gBtwF3IrIQq2rn3rNSWfG8kmvmdTmyfRh%2FpOtgCy5m%2FAV8FE%2BtdTH1gkaviqQutN786kK0zK7Olg50meO%2FAi0t334KnxWKa2X4CyIhjecuZJYJKgQR9lHwWGY1pFIrIoL4EKPP31Xy2l7rL5uciUGRCADyewXdlmKKrjQ3gOVWyJ9vvmR%2FXrhHHmFpQUX0BakcmsYu3Bc3uEk5wSU1QB3nWr4C9NjrHPtlstiKXhC6XZaiEtrJ1RMN4JvmX6AGy8Knxq7lfuxeQmm%2F4OzZfiNihdUCrVsSZlpWWUJ97TsStFMyhKFbcOmnGq%2B%2FZxWhwU4X53FuJf%2BgqCN2nADvMPSoYHP49HijK1cBTJN5ehuPgEBQFCJJOsbLJLVViesjeSUC8%2Fx%2BdaPuOYSy%2B5HM7UdaeXeoYWb%2FFEnNnNjhx%2FS%2BRinl1%2F4XFK9i4kNqVHKOz%2Fc8S9FBHCPIS2AYa5XtHATBbzB%2FoQ4nr1dlzBLhhYIgKBkE6Uq6wxZmIXfCbDZ0%2F4YDuCT0cFPbsMqLWdla7TGOyHAQsqthljNDaGQ8mjX6PI5Ysn2YO%2FhCkNGKgDD41HpJiKvtwH645uagwZWYBIYTUJDXjwAju3J%2BVd15Rkb6JDw%2BXZ21RFZtNXYPUakzK5B2s8wY2iglWPDqN2%2FRzECID0I8ldafVAa7xYxYSRed55t9GdIW%2BcRpLD9IoAPd5QzlYiQENKiNcTQF8tjtE535tPxsMWuiHMyvEj3HxoXhfXHB%2FiyBedFeygS9BZZ1j1%2BON6OhxNI86QGFiLTHypDcxWRcwmuH3uwY6sQGd%2BIr%2FPIZJfrt9Sg%2FHWWyYJfDlExCWkcyJDX4EKRcneqL2YE%2FEq%2FXNVKW4IBxfyY859yohwk%2BWrHPVFiEyTeMpe0gkcUxA%2Bh%2Bakk39F63gSayATbehPtANrtvSgqTuAXl2OwGt5t7Uc%2BN3UGXlQxquCm3npr5QRhgcY9fR1e6IWwgX1J8HUZjr9qppQOx%2BHrbqLloJXF5iGdhqqiRezDOqoZT7RQdC89sXUjvfQCA8xkE%3D&X-Amz-Algorithm=AWS4-HMAC-SHA256&X-Amz-Date=20250108T041244Z&X-Amz-SignedHeaders=host&X-Amz-Expires=300&X-Amz-Credential=ASIAQ3PHCVTYWZGBTDKG%2F20250108%2Fus-east-1%2Fs3%2Faws4_request&X-Amz-Signature=42ec02ebbca24efccd77f382319bf08d6193e973938c9c63f02e4c99b58e81c6&hash=f8bb44f44e3814c4a04ea31b6a5a1656a5a4605033daedee6b467f77aaca0565&host=68042c943591013ac2b2430a89b270f6af2c76d8dfd086a07176afe7c76c2c61&pii=S1877705816332039&tid=spdf-aeed26e0-d112-4d08-b75a-33d40110dbb1&sid=d2d22de332896549ec480e9426fe13686918gxrqb&type=client&tsoh=d3d3LnNjaWVuY2VkaXJlY3QuY29t&ua=12085e02035b5a5c075a&rr=8fe959d9cfea893d&cc=th
https://www.preventionweb.net/drr-community-voices/can-turin-beat-heat-socioeconomic-factors-play-urban-heat-island-effect
https://www.scimath.org/article-biology/item/11239-urban-heat-island
https://climatekids.nasa.gov/heat-islands/, NASA/JPL-Caltech